10 ประโยชน์ของการดื่มน้ำ

น้ำ เป็นส่วนประกอบหลักในร่างกายมนุษย์ ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ตั้งแต่ 55% ถึง 78% ขึ้นอยู่กับขนาดของร่างกาย การดื่มน้ำให้เพียงพอและสม่ำเสมอมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย นอกจากนี้ น้ำยังไม่มีแคลอรี่ คาร์โบไฮเดรตหรือน้ำตาลอีกด้วย

ปริมาณของน้ำที่ดื่มในทุกวันมีบทบาทสำคัญในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เพื่อสุขภาพที่ดีผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้วต่อวัน นอกจากนี้สถาบันการแพทย์ยังกำหนดปริมาณน้ำที่ควรบริโภคต่อวัน โดยในเพศชายควรดื่มน้ำประมาณ 3 ลิตร/วัน ส่วนผู้หญิงควรดื่มประมาณ 2.2 ลิตร/วัน

น้ำยังช่วยให้ร่างกายมีความชุ่มชื้นซึ่งสำคัญมาก เพราะทุกเซลล์ในร่างกายต้องการน้ำเพื่อให้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์เต็มที่ และต่อไปนี้คือ 10 ประโยชน์ต่อสุขภาพของน้ำดื่มที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

  1. บรรเทาความเมื่อยล้า
    หากคุณกำลังรู้สึกเมื่อยล้าก็มีโอกาสสูงว่าเป็นเพราะดื่มน้ำไม่เพียงพอ ร่างกายจึงทำงานได้ไม่เต็มที่ ในความจริงแล้วความเมื่อยล้าจัดเป็นสัญญาณแรกของร่างกายขาดน้ำก็ว่าได้ เมื่อน้ำในร่างกายลดน้อยลง หัวใจจะทำงานหนักขึ้นในการปั้มเลือดที่มีออกซิเจนเข้าไปในกระแสเลือด และยังทำให้อวัยวะต่างๆ ทำงานมีประสิทธิภาพลดน้อยลง ดังนั้นการดื่มน้ำให้เพียงพอจึงช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดีขึ้นและลดความเมื่อยล้าลงได้
  2. ช่วยปรับปรุงอารมณ์
    การวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่าการขาดน้ำอย่างอ่อนๆ (แม้เพียง 1-2% ของระดับปกติ) ก็ส่งผลแง่ลบต่ออารมณ์และความสามารถในการคิดแล้ว มีการศึกษาขนาดเล็กๆ ที่ดำเนินการกับผู้หญิงจำนวน 25 ราย ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารโภชนาการได้พบว่า การขาดน้ำส่งผลต่ออารมณ์และความสามารถในการทำความเข้าใจ สีของปัสสาวะจะบอกได้ดีถึงระดับของน้ำในร่างกาย ยิ่งสีอ่อนๆ ร่างกายก็ยิ่งมีความชุ่มชื้น แต่ในทางกลับกันหากสีเข้มก็แสดงว่าร่างกายอาจกำลังขาดน้ำอยู่
  3. รักษาอาการปวดศีรษะและไมเกรน
    หากคุณมีอาการปวดศีรษะหรือปวดไมเกรน สิ่งแรกที่คุณควรทำเพื่อบรรเทาอาการก็คือควรดื่มน้ำให้มากๆ เพราะบ่อยครั้งอาการปวดหัวและไมเกรนมากจะเกิดจากร่างกายขาดน้ำ จากการศึกษาซึ่งตีพิมพ์ในวารสารประสาทวิทยาในยุโรปพบว่า การดื่มน้ำให้มากขึ้นจะช่วยลดชั่วโมงและความรุนแรงของอาการปวดหัวในกลุ่มผู้เข้าร่วมการศึกษาได้
  4. ช่วยในการย่อยอาหารและอาการท้องผูก
    น้ำยังช่วยเพิ่มการทำงานของระบบย่อยอาหารในร่างกาย ช่วยป้องกันอาการท้องผูก การดื่มน้ำที่ไม่เพียงพออาจทำให้ลำไส้ดึงเอาน้ำออกมาจากอุจจาระในลำไส้เพื่อรักษาความชุ่มชื้น จึงทำให้อุจจาระแข็งตัวและยากที่จะถ่ายออกมาได้ การดื่มน้ำที่เพียงพอช่วยกระตุ้นการเผาผลาญอาหารในร่างกาย และยังช่วยให้ร่างกายย่อยอาหารได้ดีขึ้น ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานและลำไส้มีการเคลื่อนตัวได้ดี ยิ่งหากดื่มเป็นน้ำอุ่นแล้วก็จะยิ่งดีต่อระบบย่อยอาหารในร่างกายมากกว่าดื่มน้ำเย็นเสียอีก
  5. ช่วยลดน้ำหนัก
    ในการทดลองทางคลินิก นักวิทยาศาสตร์พบว่าการดื่มน้ำ 8 ออนซ์ จำนวน 2 แก้วก่อนมื้ออาหาร จะช่วยลดความอยากอาหารและช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผล เมื่อคุณดื่มน้ำมันช่วยเติมกระเพาะให้เต็มและลดแนวโน้มการกินมากเกินควรได้ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันในร่างกาย และช่วยในการสลายและกำจัดเซลล์ไขมันได้อีกด้วย น้ำเป็นเครื่องดื่มที่ปราศจากแคลอรี่ จัดเป็นเครื่องดื่มทดแทนแอลกอฮอล์ หรือน้ำอัดลม รวมไปถึงเครื่องดื่มหวานๆ ที่จะทำให้น้ำหนักเพิ่มได้
  6. ช่วยล้างสารพิษ
    น้ำเป็นตัวช่วยกำจัดพิษชั้นเลิศ ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายของเสียส่วนใหญ่ออกจากร่างกายผ่านทางเหงื่อและปัสสาวะ นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมการทำงานของไต ลดปริมาณนิ่วในไตโดยเจือจางเกลือและแร่ธาตุต่างๆ ในปัสสาวะซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคนิ่วในไต แม้ว่าคุณต้องดื่มน้ำให้เพียงพอตลอดทั้งวัน แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ยังเตือนว่าอย่าให้มากเกินไปนัก เนื่องจากมันอาจลดความสามารถในการกรองของเสียของไตได้ ดังนั้นจึงขอแนะนำให้ดื่มน้ำในปริมาณที่พอเหมาะกับร่างกาย ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ควรดื่มเมื่อรู้สึกกระหาย และให้นับรวมของเหลวชนิดอื่นๆ รวมไปถึงน้ำที่มีในอาหารที่คุณทานด้วย
  7. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
    ปริมาณน้ำที่เพียงพอในร่างกายยังช่วยควบคุมอุณหภูมิร่างกายอีกด้วย เพราะคุณสมบัติของน้ำจะช่วยให้ร่างกายได้ปลดปล่อยความร้อนในร่างกายออกมาผ่านทางเหงื่อที่ไหลออกจากผิว จึงช่วยรักษาอุณหภูมิในร่างกายได้ อุณหภูมิร่างกายที่ถูกควบคุมไว้ได้ดี จะช่วยให้รู้สึกกระฉับกระเฉงเวลาออกกำลังกาย น้ำช่วยหล่อลื่นข้อต่อและกล้ามเนื้อซึ่งช่วยป้องกันตะคริวและเคล็ดขัดยอกได้
  8. ช่วยให้ผิวสุขภาพดี
    น้ำช่วยให้ร่างกายมีความชุ่มชื้น และช่วยให้โลหิตไหลเวียนในเส้นเลือดฝอยได้อย่างสะดวก ซึ่งช่วยให้ผิวแลดูสุขภาพดีและอ่อนกว่าวัย อีกทั้งยังช่วยเติมเต็มเนื้อเยื่อ บำรุงผิวพรรณ และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนังได้ เมื่อร่างกายได้รับน้ำอย่างพอเพียง ผิวก็จะรู้สึกชุ่มชื้นแลดูสดใส นุ่มมือ เป็นประกายและเรียบเนียน ทั้งยังช่วยป้องกันริ้วรอยเล็กๆ ลดรอยแผลเป็น ลดสิวและริ้วรอยอื่นๆ จากภาวะแก่ก่อนวัยได้ด้วย
  9. บรรเทาอาการเมาค้าง
    การดื่มน้ำเป็นวิธีง่ายๆ แต่มีประสิทธิภาพในการขจัดอาการเมาค้าง เนื่องจากน้ำมีฤทธิ์ช่วยขับปัสสาวะ จึงช่วยขจัดแอลกอฮอล์ที่คุณดื่มเข้าไป ดังนั้นน้ำจึงช่วยร่างกายได้คืนสภาพและเร่งการฟื้นตัวให้เร็วขึ้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ดื่มน้ำ 16-20 ออนซ์ก่อนที่คุณจะไปเข้านอน ในคืนที่ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  10. ขจัดกลิ่นปาก
    การมีกลิ่นปากเป็นสัญญาณว่าคุณอาจดื่มน้ำไม่เพียงพอ เพราะน้ำช่วยให้ปากชุ่มชื้นและช่วยล้างเศษอาหารที่ตกค้างรวมไปถึงแบคทีเรียในปากได้ด้วย นอกจากนี้ยังช่วยเจือจางสารที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นในปากซึ่งแบคทีเรียสร้างขึ้นมา ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอ และบ้วนปากด้วยน้ำสะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมื้ออาหารหรือมื้ออาหารว่างเพื่อควบคุมกลิ่นและช่วยขจัดแบคทีเรีย รวมไปถึงเศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟันและซอกเหงือกด้วย สรุปว่า มันเป็นเรื่องที่จำเป็นมากที่ต้องดื่มน้ำให้เพียงพอกับร่างกายในแต่ละวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากน้ำอย่างเต็มที่ และให้แน่ใจว่าคุณดื่มน้ำที่ผ่านการกรองแล้ว รวมไปถึงควรทานผลไม้และผักฉ่ำน้ำต่างๆ ให้มากขึ้นด้วย

ทำยังไงให้ไอเดียปัง

หนังสือ Made To Stick คนเขียนมีแนวทางให้เราลอง เป็นหลักการ 6 อย่าง เป็นคุณสมบัติของไอเดียที่จะทำให้มันปัง ได้แก่ Simple, Unexpected, Concrete, Credible, Emotional และ Stories ได้ตัวย่อเป็นความสำเร็จ เป็น SUCCES

  1. Simple คือง่าย ทำยังไงให้เข้าใจง่าย ไม่ต้องเยอะ เอาแค่ที่สำคัญ น้ำไม่ต้อง เอาแต่เนื้อ ไม่ต้องเล่ายาว สรุปมาให้หน่อย
  2. Unexpected คือไม่คาดคิด ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่คิดว่าแบบนี้ก็ทำได้ เซอร์ไพรส์ทำให้คนสนใจ ความไม่เหมือนใครทำให้คนยิ่งอยากรู้ อยากรู้ว่ามันจะจบยังไง
  3. Concrete คือจับต้องได้ เคลียร์ ทำได้จริง ทำได้ง่าย ทำได้ไว
  4. Credible คือเชื่อถือได้ มีรายละเอียด มีข้อมูลอ้างอิง ทดสอบมาแล้ว
  5. Emotional คืออารมณ์ อย่าให้คนต้องคิด ให้เค้ารู้สึกเอาเอง ให้มันสื่อถึงตัวเค้า หรือคนที่เค้าสนใจ
  6. Stories คือเรื่องราว ที่มันท้าทาย ที่มันมีพัฒนาการ ที่มันสร้างสรรค์

บุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่ทั่วไปจริงไหม

    31 พฤษภาคมของทุกปี ถือเป็นวันงดสูบบุหรี่โลก งค์การอนามัยโลกเล็งเห็นถึงอันตรายจากการสูบบุหรี่ เพราะนอกจากจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้สูบแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อผู้ที่อยู่ใกล้เคียงที่จะได้รับควันบุหรี่จากคนที่สูบทางอ้อม ก่อให้เกิดโรคร้ายเหมือนสูบบุหรี่เองโดยตรงได้อีกด้วย ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่หันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้ากันมากขึ้น ด้วยกลไกการทำงานที่ไม่มีกระบวนการเผาไหม้เหมือนบุหรี่ทั่วไป ทำให้ผู้สูบลดความเสี่ยงที่จะได้รับสารที่เป็นอันตรายจากการเผาไหม้บางตัวเช่น น้ำมันดินหรือทาร์  และคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง และโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

 

บุหรีไฟฟ้า

   

    บุหรี่ไฟฟ้า คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดหนึ่งซึ่งใช้แบตเตอรี่ในการทำงานเพื่อสร้างความร้อนและไอน้ำ ประกอบด้วยสารต่าง ๆ เช่น นิโคติน (Nicotine) โพรไพลีนไกลคอล (Propylene Glycol) กลีเซอรีน (Glycerine) สารแต่งกลิ่นและรส (Flavoring) และน้ำ เมื่อเปิดเครื่องจะมีไฟสีแดงขึ้นพร้อมกับการทำงานของแบตเตอรี่ เกิดความร้อน ทำให้น้ำยาที่บรรจุอยู่ภายในระเหยขึ้นมาเป็นควัน เมื่อสูบเข้าไปในปอดร่างกายจะได้รับนิโคตินก่อนที่จะถูกพ่นออกมา สารเคมีชนิดต่างๆ ที่พบในน้ำยาสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ เช่น นิโคติน เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะไปกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง เพิ่มความดันโลหิต เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจ เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปอด และโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เมื่อสัมผัสหรือสูดดม สารโพรไพลีนไกลคอลและกลีเซอรีน เข้าไปอาจทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนัง ดวงตา และปอดได้ โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง โรคหอบหืด และโรคถุงลมโป่งพอง นอกจากนี้ ยังพบสารพิษอีกมากมายในไอของบุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น โลหะหนัก สารหนู สารกลุ่มฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) และกลุ่มเบนซีน (Benzene) เป็นต้น

    แม้ว่าสารพิษที่พบในไอระเหยของบุหรี่ไฟฟ้าจะมีน้อยกว่าในควันบุหรี่ธรรมดาทั่วไป แต่บุหรี่ไฟฟ้าก็ยังคงมีสารเคมีที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพและทำให้เกิดการเสพติดได้เหมือนกับบุหรี่ธรรมดาทั่วไปเช่นกัน ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย และการมีสุขภาพที่ดีอย่างแท้จริง เราจึงควรงดสูบบุหรี่ทุกประเภท เพราะนอกจากจะช่วยลดโรคร้ายที่เกิดจากการสูบบุหรี่แล้ว ยังช่วยให้คนรอบข้างและบุคคลที่คุณรักปลอดภัยจากพิษภัยของบุหรี่อีกด้วย

แก้อาการ ปวดหลัง ปวดไหล่ เวลาขับรถ

ปวดหลังตอนขับรถ

ในช่วงเวลาขัยรถควรจะเป็นเวลาที่มีความสุขเมื่อได้อยู่บนท้องถนนกับรถยนต์ส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางในเมืองหรือถนนเส้นยาวในต่างจังหวัด แต่หลายครั้งต้องเจอปัญหาที่เบื่อ คืออาการปวดหลัง ปวดไหล เมื่อยแขน ปัญหาเหล่านี้มีวิธีการแก้ไขง่ายๆ ที่หลายคนยังไม่รู้

อาการปวดหลังระหว่างขับรถ เกิดจากการเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณแผ่นหลังเป็นเวลานานในท่าเดิม แม้บนเก้าอี้ที่ถูกออกแบบมาสําหรับสรีระในการนั่งขับขี่ ส่วนโค้งของหลังส่วนเอวจะโค้งกลับทิศขณะนั่ง กล้ามเนื้อบ่าและไหล่ที่ต้องถูกเกร็งขึ้นเพื่อจับพวงมาลัยตลอดเวลา ประกอบกับการเพ่งมองไปข้างหน้าทําให้สายตาเกิดความเมื่อยล้า ทําให้เกิดความเครียด ส่งผลต่ออาการเกร็งของกล้ามเนื้อ เส้นประสาทต่างๆกับแรงกระทําต่อร่างกาย จากความเร่งในการเคลื่อนที่ แรงเหวี่ยง หรือ แรงสั่นสะเทือนจากพื้นผิวถนน และยังต้องใช้เท้าเหยียบเบรค และคันเร่งที่จะสามารถใช้ในการช่วยทรงตัวเหมือนเวลานังเก้าอี้ปกติได้ นั่นยิ่งทําให้กล้ามเนื้อหลังถูกใช้งานมากขึ้น ลองทําตามวิธีแนะนําเบื้องต้นเหล่านี้ เพื่อบรรเทาอาการปวดหลังระหว่างขับรถ 

เทคนิคในการเขียนบทความ เพื่อทำ SEO

ปัจจุบันการทำ seo มีความจำเป็นมากกับธุรกิจ กิจการ เพื่อให้ได้ไปติดอันดับหน้าต้นๆ ของกุเกิล จึงเกิดการแข่งขันในการพัฒนาเว็บไซต์อย่างมาก แต่จนถึงเดียวนี้ยังไม่มีใครรู้วิธีการทำ seo อย่างแน่ชัด จึงรวบรวมแบ่งปันเทคนิดมาแชร์ต่อกัน เราจึงได้รวบรวมเทคนิดการเขียนบทความแบบ seo ทั้งหมดมาสรุป มาดังนี้

  1. กำหนด keyword เพื่อใช้เป็นหัวข้อ ของบทความที่จะเขียนและนำเสนอให้น่าสนใจ และอธิบายเนื้อหาโดยรวมที่ต้องการเสนอด้วย
  2. กำหนดโครงสร้าง url เป็นแบบ %postname% หรือใช้หัวข้อที่มี Keyword รวมอยู่ด้วย หลีกเลี่ยง _  แต่ควรใช้ – (ยัติภังค์) แทน
  3. ควรมีเนื้อหาที่แปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร แต่หากไม่ทราบวิธีการเขียนก็สามารถศึกษาตัวอย่างบทความได้จาก Google แล้วรวบรวมข้อมูล นำไปเขียนใหม่
  4. ควรเขียนบทความอย่างน้อย 150 คำขึ้นไป หากจะให้สมบูรณ์แนะนำเขียนมากกว่า 300 คำ
  5. หัวข้อย่อย กำหนดเป็น h2 หรือย่อยลงมาอีกก็เป็น h3  แต่ไม่จำเป็นต้องใส่ Keyword ในทุกหัวข้อย่อย
  6. การเน้นตัวหนา ตัวเอียง หรือขีดเส้นใต้คำที่เกี่ยวกับบทความ
  7. สร้างลิงค์เชื่อมโยงเนื้อหาไปยังบทความอื่นๆ ภายในเว็บไซต์ด้วย
  8. รูปในบทความ ให้ตั้งชื่อไฟล์ด้วย Keyword ภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ หลังอัพโหลดรูปภาพแล้ว ควรเพิ่มคำอธิบายรูปภาพด้วย โดยใส่เป็นหัวข้อเรื่องหรือ Keyword ของบทความ
  9. จัดแบ่งบทความให้เป็นหมวดหมู่
  10. กำหนด Image Feature (รูปพิเศษ) ให้กับบทความด้วย เพื่อดึงดูดความน่าสนใจ
  11. อัพเดตบบทความอย่างน้อย วันละ 1 บทความ
  12. ติดตั้งปลั๊กอินให้เว็บไซต์ ที่สร้างด้วย WordPress
  13. บทความต้องมีความน่าสนใจ มีประโยชน์ต่อผู้อ่าน
  14. เขียนให้ Keyword และคำต่างๆภายในเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกัน

เทคนิค การเขียนบทความ อย่างไรให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย

ในปัจจุบันการเขียนบทความไม่ว่าจะสั้น หรือยาวนับว่ามีความสำคัญในด้านการทำธุรกิจ การทำเว็บไซต์ หรือการขายสินค้า ล้วนจำเป็นต้องมีบทความเพื่อดึงดูดความสนใจ หรือสร้างความรู้สึกโดนใจให้กับผู้อ่านมากที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การเขียนบทความสามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการทำธุรกิจ หรือการสนับสนุนธุรกิจได้เป็นอย่างดี

ดังนั้นในวันนี้ Am2b Marketing ก็ขอแนะนำเทคนิค เขียนบทความ อย่างไรให้โดนใจผู้อ่านที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ มาให้ทุกๆ ท่านได้อ่านเพื่อนำไปใช้ หรือนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับแนวทางในการเขียนบทความของคุณ ดังนี้

1. กำหนดจุดประสงค์ของเรื่องก่อนเขียน

ทุกครั้งก่อนที่คุณจะเริ่มต้นเขียนเรื่องราวอะไรสักอย่างเพื่อถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้อ่าน สิ่งแรกที่คุณควรทำคือการกำหนดจุดประสงค์ของเรื่องราวที่คุณจะเขียนเสียก่อน ว่าต้องเขียนเรื่องราวให้ออกมาในรูปแบบไหน ทำให้ผู้อ่านรู้สึกอย่างไร หรืออยากให้ผู้อ่านได้รับอะไรจากการอ่านบทความของคุณบ้าง

โดยการกำหนดจุดประสงค์ก่อนการเขียนบทความจะทำให้คุณสามารถเลือกแนวทางในการเขียนเล่าเรื่องราวได้อย่างเหมาะสม และทำให้การเขียนบทความมีจุดมุ่งหมายไม่หลงประเด็น ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านรู้สึกคล้อยตามสิ่งที่คุณกำหนดไว้อย่างการเขียนเพื่อให้ความรู้คุณก็ต้องเลือกรูปแบบการเขียนด้วยการใช้คำที่ดูเป็นทางการเพื่อสร้างความรู้สึกน่าเชื่อถือให้บทความเมื่อถูกอ่าน ที่ถือว่าเป็นจุดประสงค์ที่ได้ตั้งไว้ก่อนทำการเขียนบทความนั่นเอง

2. ใช้หลัก 5 W+1H

เทคนิค การเขียนบทความ ให้น่าสนใจ และโดนใจผู้อ่านนั้น คุณจำเป็นต้องทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าถึงเรื่องราว หรือจินตนาการตามที่คุณได้เขียนเล่าออกไปได้อย่างง่ายดาย จากการใช้หลัก 5 W+1H หรือก็คือการใช้หลักการ Who (ใคร) What (ทำอะไร) Where (ที่ไหน) When (เมื่อไหร่) Why (ทำไม) How (ทำได้อย่างไร) เข้ามาช่วยในการอธิบายเพื่อสร้างจินตนาการให้กับผู้อ่านได้อย่างเป็นขั้น เป็นตอนที่จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวที่ได้อ่านง่ายขึ้น ซึ่งวิธีนี้มักถูกใช้อย่างมากมายในหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็น ด้านการทำภาพยนตร์ การเขียนนิยาย หรือแม้แต่การทำรายการทีวีทั่วไป ก็เลือกวิธีนี้ในการสร้างเรื่องราวให้น่าสนใจและทำให้ผู้อ่านเกิดเข้าใจได้ง่ายขึ้น

3. สรุปจบให้ตราตรึงใจ

นอกจากการเริ่มต้นการเขียนเรื่องราวที่ดีแล้ว การสรุปจบเรื่องราวที่คุณได้เขียนให้ตราตรึงใจก็สามารถสร้างรู้สึกดีๆ ให้กับผู้อ่านได้เช่นกัน ซึ่งตอนจบอันตราตรึงใจที่คุณต้องสร้างขึ้นมานั้น ต้องสามารถทำให้ผู้อ่านเกิดความตราตรึงใจ สามารถมัดใจของผู้อ่านให้เกิดความรู้สึกชื่นชอบบทความ หรืออยากติดตามบทความของคุณอีกต่อไปในอนาคต

โดยคุณสามารถสร้างความตราตรึงใจได้จากการเขียนสรุปให้ผู้อ่านมีความคิดเชิงบวก ให้กำลังใจในเรื่องการใช้ชีวิต การทำงาน หรือการแสดงว่าคุณก็เป็นอีกหนึ่งคนที่มีความคิดคล้ายกับผู้อ่าน ซึ่งการสร้างบทสรุปที่ตราตรึงใจนั้น จำเป็นต้องทำให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง และวัตถุประสงค์ของเรื่องที่คุณได้ทำขึ้นมาด้วย เพื่อให้บทสรุปเรื่องราวที่คุณได้ถ่ายทอดออกมาสัมพันธ์กับเนื้อหาที่ได้เขียนมาก่อนหน้านี้ด้วย

4. เล่าเรื่องอย่างมีจุดพีค

การเล่าเรื่องให้มีจุดพีค หรือจุดที่สร้างความพลิกผันที่เกิดจากการตัดสินใจเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบทความที่จะทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาแตกต่างกัน ซึ่งสามารถสร้างขึ้นมาได้อย่างน้อยๆ หนึ่งจุดเพื่อให้เรื่องราวได้ไปสู่จุดพลิกผันที่จะทำให้ผู้อ่านบางคนที่กำลังประสบปัญหาเดียวกัน หรือปัญหาที่คล้ายๆ กันได้ตัดสินใจว่าตนเองควรทำเช่นไรต่อไปจะทำตามที่ผู้เขียนบอกไว้ หรือสร้างแนวทางใหม่ที่อาจจะดีกว่าให้กับตัวเองได้จากการอ่านบทความ

ซึ่งสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างจุดพีค หรือจุดพลิกผันในการเขียนบทความก็คือคุณไม่ควรสับสนระหว่างการเล่าเรื่องให้มีจุดพีค กับการสร้างตอนจบของเรื่องให้น่าประทับใจ เพราะจุดพีค หรือจุดพลิกผันที่ไม่สามารถบอกได้ว่าผู้อ่านจะเจอกับอะไรในอนาคต แต่จะบอกเพียงแค่ผู้เขียนได้ผ่านอะไรมาบ้าง ผลลัพธ์ที่ผู้อ่านได้เลือกจากนี้ต่อไปจะเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งส่วนนี้ก็นับว่าเป็นส่วนที่สามารถสร้างแรงใจให้กับผู้อ่านได้เป็นอย่างดีอีกหนึ่งส่วน

หากจะให้คุณผู้อ่านได้ไปแค่ 4 เทคนิคสำหรับการเขียนให้น่าสนใจมันก็ดูน้อยจนเกินไป ดังนั้นเรามาต่อกันด้วย 7 เทคนิคการเขียนคำโฆษณาที่คุณควรรู้ สำหรับคนที่ต้องการเขียนเพื่อส่งเสริมการตลาด หรือเขียนเพื่อทำโฆษณาในการทำธุรกิจของคุณ

1. แอบเข้าไปอยู่ในใจของผู้อ่าน

เทคนิค การเขียนบทความ หลายคนอาจมองว่าการเขียนคือการสร้างประโยค และการคัดสรรคำที่สวยงามมาใช้งาน แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมดของการเขียน เพราะการเขียนที่ดีไม่ใช่แค่สร้างสรรค์คำที่สวยหรู แต่จะต้องเขียนให้เข้าไปในใจของผู้อ่านได้ และการเขียนให้เข้าไปอยู่ในใจของผู้อ่านวิธีที่ดีที่สุดคือเข้าใจผู้อ่าน ใช้คำเขียนในแบบที่ผู้อ่านจะเข้าใจ และสามารถเข้าถึงผู้อ่านได้แม้อ่านเพียงไม่กี่ประโยค

2. ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ด้วยการจับคู่คุณสมบัติ กับประโยชน์

สิ่งที่จะโน้มน้าวจิตใจของผู้อ่านได้ดีที่สุด คือการบอกเล่าในสิ่งที่ผู้อ่านต้องการทราบ เมื่อพวกเขาได้ลงมือค้นหาข้อมูล ดังนั้นในการเขียนเพื่อส่งเสริมการขายคุณก็ไม่ควรพลาดที่จะเขียนบอกถึงคุณสมบัติต่างๆ ที่ผลิตภัณฑ์ของคุณมี พร้อมบอกถึงประโยชน์ที่ได้รับจากคุณสมบัติเหล่านั้น

3. เฉพาะเจาะจง

หากการเขียนคำโฆษณาของคุณจะเต็มไปด้วยอารัมภบท ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ขอบอกเลยว่าการเขียนคำโฆษณาของคุณนั้นมันทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกเบื่อหน่าย ดังนั้นการเขียนคำโฆษณาควรถูกออกแบบมาให้มีความเฉพาะเจาะจง แสดงให้ผู้พบเห็น หรือผู้อ่านทราบว่าสิ่งนี้คืออะไร ต้องการจะสื่อสารกับผู้อ่านในทิศทางใด

4. เขียนถึงผู้คนที่กล่าวถึงคุณ

ผู้คนในปัจจุบันมีพฤติกรรมในการค้นหาข้อมูลก่อนทำการซื้อสินค้า หรือบริการมากยิ่งขึ้น หากคุณเป็นหนึ่งคนที่ต้องการให้ผู้คนมั่นใจกับการซื้อสินค้า และบริการของคุณ ก็อย่าลืมนำคำพูดที่ผู้คนกล่าวถึงสินค้า และบริการมาเขียนถ่ายทอดออกไปให้ผู้ที่สนใจเข้ามาอ่านดู

5. เอาชนะคำคัดค้าน

ในการโฆษณาคงจะไม่แปลกอะไรที่ผู้อ่าน หรือผู้พบเห็นจะมีความรู้สึกแตกต่างกันออกไปไม่ว่าจะเชื่อคำโฆษณาอย่างสนิทใจ สงสัยในคำโฆษณาตลอดจนคัดค้าน ไม่เห็นด้วยกับคำโฆษณาของคุณ ดังนั้นในการเขียนโฆษณาคุณจำเป็นจะต้องสร้างความมั่นใจให้กับโฆษณา ด้วยการเอาชนะข้อคัดค้านต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

6. เข้าให้ถึงใจของลูกค้ายิ่งขึ้น

การจะเข้าถึงใจใคร สิ่งที่คุณต้องทำให้ได้คือเข้าใจพวกเขาอย่างการมองเห็นปัญหาที่กลุ่มเป้าหมายของคุณต้องพบเจออย่างเช่น Am2bmarketing ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด ที่มองเห็นปัญหาในการทำตลาดของกลุ่มเป้าหมาย จึงเขียนโฆษณาสื่อให้กลุ่มเป้าหมายเห็นว่า Am2bmarketing เข้าใจปัญหาของพวกเขาในเรื่องของการเขียนคอนเทนต์ทางการตลาด และพร้อมให้บริการด้านการทำคอนเทนต์ทางการตลาด

7. กระตุ้นการตัดสินใจ

สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการทำตลาดออนไลน์คือคำกระตุ้นการตัดสินใจ ที่จะส่งเสริมผู้ชมโฆษณาของคุณให้ตัดสินใจหรือดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของการโฆษณา ซึ่งวัตถุประสงค์ก็แตกต่างกันออกไปตามแต่ผู้จัดทำต้องการไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนการซื้อ การสนับสนุนให้กดรับข้อมูล ด้วยข้อความสั้นๆ อย่างซื้อเลยสินค้ามีจำนวนจำกัด หรือรับสมัครขอข้อมูลฟรี